ลำน้ำแม่ลา อำเภออินทร์บุรี อำเภอบางระจัน และอำเภอเมืองสิงห์บุรี 
จังหวัดสิงห์บุรี เป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่ประตูระบายน้ำบรมธาตุ จังหวัดชัยนาท ผ่านพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรีในเขตอำเภอ
อินทร์บุรี อำเภอบางระจัน  และอำเภอเมืองสิงห์บุรี มีพื้นที่ ๒๗๓ ไร่ ลำน้ำแม่ลา
ฝั่งตะวันออกเริ่มต้นจากหมู่ที่ ๑๒ ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี เรียกว่า ลำการ้อง 
          จากลำการ้อง เรียกว่า บ้านดอนแฝก ไหลคนเคี้ยวผ่านมาที่หมู่ ๑๐
บ้านแหลมทอง บ้านท่าเชิงอ้าย ผ่านหมู่ ๙ บ้านโรงปลา บ้านคลองใหม่ แล้วมา
สิ้นสุดที่หมู่ ๗  บ้านป่าเก่า เป็นที่ตั้ง ของอุทยานแม่ลามหาราชานุสรณ์ รวมความ
ยาว ๓๒๗๐ เมตร ส่วนริมฝั่งแม่ลาตะวันตกเป็นที่ตั้งของชมชนเขตอำเภอบางระจัน 
ที่เรียกว่า ตำบลแม่ลา หมู่ที่ ๑-๓ แล้วไหลไปบรรจบกับคลองทุ่มโพรงลำน้ำแม่ลา
ไหลผ่านจังหวัดสิงห์บุรีเป็นระยะทางประมาณ ๑๘ กิโลเมตร

           ความสำคัญ ลำน้ำแม่ลาฝั่งตะวันออกเริ่มต้นจากหมู่ที่ ๑๒ ตำบลทับยา 
อำเภออินทร์บุรี ต่อเรียกว่าลำการ้องชาวบ้านเรียกว่า “แม่การ้อง” เป็นที่มีปลาชุก
ชุมมาก เป็นแหล่งกำเนิดพันธุ์ปลารสดีได้แก่ ลำแม่ลา ซึ่งให้กำเนิด ปลาช่อน 
ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดสิงห์บุรีในด้านรสชาติที่อร่อยมาก ที่จะหาปลาช่อนใน
ท้องถิ่นอื่นมาเปรียบเทียบได้ 
            เนื่องจากที่แห่งนี้มีลักษณะดินเป็นโคลนสีดำไม่ใช่ดินดานหรือดินทราย
เหมือนที่อื่นลักษณะดินโคลนจะเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของปลามาก การที่มี
น้ำนิ่งและพืชน้ำพร้อมทั้งอาหารที่สมบูรณ์  ทำให้ปลากินอิ่มตัวอ้วนเนื้อมันรสหวาน 
อร่อย น่ารับประทาน จังหวัดสิงห์บุรีจึงจัดงานประเพณีเทศกาลกินปลา   และงาน
กาชาดจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงของปลาช่อนแม่ลาให้เป็นที่รู้จักไปทั่ว
ประเทศ ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพิ่มพูน

          จังหวัดสิงห์บุรี มีนโยบายอนุรักษ์ฟื้นฟู และพัฒนาลำน้ำแม่ลา ด้วยเกรงว่า 
จำนวนปลาจะลดอย่างรวดเร็ว จากการเพิ่มประชากรต้องการปลาเป็นอาหารเพิ่มขึ้น 
การขุดคลองชลประทาน การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช การขุดลอกลำน้ำแม่ลาการ
แพร่ระบาดของหอยเชอรี โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นแหล่งที่มีปลาชุกชุม และ แหล่ง
ท่องเที่ยวที่สำคัญ จึงดำเนินการเช่นสร้างอาคาร "แม่ลาราชานุสรณ์วังปลา" 
การศึกษาวิจัยระบบนิเวศลำน้ำปลา

             ลำแม่ลา เป็นเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดสิงห์บุรี ได้
รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งธรรมชาติของท้องถิ่นอันควรอนุรักษ์เป็นมรดก
ของชาติ เป็น ๑ ในจำนวน ๒๖๓ แห่งทั่วประเทศตามประกาศคณะรัฐมนตรี
เมื่อ ๗ พฤศจิกายน