หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
27 มิถุนายน 2560

/data/content/74/cms/cehijmosuvx2.jpg

ประวัติของหลวงพ่อจรัญ

       ชื่อเดิมคือ  นายจรัญ จรรยารักษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๗๑ เวลา ๐๗.๑๐ น. ปัจจุบันอายุ ๘๗ ปี
เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวน ๑๐ คน มีบิดาชื่อ นายแพ จรรยารักษ์และมารดาชื่อ นางเจิม สุขประเสริญ มีอาชีพเป็น
ชาวนา ที่ ต.ม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี

       ได้รับการอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๙๑ รวม ๖๗ พรรษา ส่วนวุฒิการศึกษาสำเร็จนักธรรมชั้นโท
ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี และที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๓ ชีวิตวัยเด็กของ จรัญ จรรยารักษ์ 

"ชีวิตวัยเด็ก"
       วัยเด็กของเด็กชายจรัญ ถูกยาย อายุ ๘๐ ปี ขอไปเลี้ยงอยู่เป็นเพื่อน เนื่องจากตาลาบวชโดยได้ไปอยู่ที่
บ้านทรงไทยที่มีหลังบ้านติดกับลำน้ำลพบุรี และในเวลา ๐๔.๐๐ น.ของทุกวัน คุณยายจะตื่นขึ้นมาสวดมนต์เป็น
เวลา ๑ ชั่วโมง โดยมีเด็กชายจรัญคอยเตรียมอาหารไว้ให้ยายใส่บาตร จากนั้นสองยายหลานจะพากันไปเก็บผัก
ผลไม้ เพื่อหาบไปขายในตลาดก่อนที่เด็กชายจรัญจะไปโรงเรียน

       แต่ทว่าเวลานั้นเด็กชายจรัญต้องย้ายโรงเรียนบ่อย เนื่องจากไม่ตั้งใจเรียน มีนิสัยเกเร ชอบเอาเวลาไปยิงนก
ตกปลาและสร้างวีรกรรมไว้มากมาย จนช่วงมัธยมเด็กชายจรัญถูกโรงเรียนไล่ออกและไม่มีโรงเรียนใดใน จ.สิงห์บุรี
รับเข้าเรียน ทั้งที่ยายสอนแต่สิ่งดีๆ ทำให้ยายต้องส่งเด็กชายจรัญไปอยู่กับปู่ ซึ่งเป็นคุณหลวงในกรุงเทพฯ และได้ไป
เป็นศิษย์ ดนตรีไทยของคุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะก่อนส่งตัวต่อไปฝากฝังกับ จอมพล ป. จนได้รับการสนับสนุนให้
เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่เมื่อเจอรุ่นพี่วางอำนาจใส่นายจรัญ ก็ทนไม่ได้ จนมีเรื่องกับรุ่นพี่ จึงต้อง
ลาออกจากโรงเรียนและกลับไปตั้งวงดนตรีไทยที่บ้าน

"อุปสมบท"
       หลวงพ่อจรัญ อุปสมบท จนกระทั่งครบอายุบวช ยายก็ได้ให้นายจรัญอุปสมบทเมื่อปี ๒๔๙๑ ที่วัดพรหมบุรี 
โดยมีพระพรหมนคราจารย์ เจ้าอาวาสวัดแจ้งพรหมนคร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรวิริยคุณวัดพุทธารามเป็นพระ
กรรม
วาจาจารย์ ท่านได้รับฉายาว่า “ฐิตธมฺโม” ทั้งที่ขณะนั้นนายจรัญเกลียดพระสงฆ์ เพราะเจอพระทุศีลใช้ผ้าเหลือง
หากิน และ
เมื่อครบกำหนดสึกท่านได้เตรียมตัวสึก แต่ก็เลื่อนสึกถึง ๓ ครั้ง จนสมภารวัดบอกว่า ไม่สึกให้แล้วหากคิด
จะสึกก็ให้ไปวัดอื่น 
ท่านจึงออกเดินทางไปนมัสการพระพุทธชินราช เพื่อตั้งใจให้พระที่นั่นสึกให้  แต่ระหว่างทางได้
เจอโยมที่กำลังเดินทางไป
นมัสการหลวงพ่อเดิม ที่ จ.นครสวรรค์ ท่านจึงได้เดินทางไปด้วย เมื่อไปถึงก็ได้ฝากตัวเป็น
ศิษย์กับพระครูนิวาสธรรมขันธ์ 
(เดิม พุทฺธสโร) ซึ่งท่านก็ได้สอนวิชาคชศาสตร์ให้ ซึ่งมีเพียงหลวงพ่อจรัญเพียงคน
เดียวที่
ได้เรียน รวมถึงวิชาคาถาอื่นๆ จนท่านไม่ได้สึกอย่างที่ตั้งใจและคิดว่าคงต้องครองสมณเพศไปตลอด

      นอกจากนี้หลวงพ่อยังได้ศึกษาวิชากับอาจารย์ท่านอื่นๆอีก เช่น พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์(ลี ธมมฺธโร) 
และพระอริยคุณาธาร(เส็ง ปุสฺโส)จ.ขอนแก่น ต่อมาได้ศึกษาการทำเครื่องรางของขลังน้ำมันมนต์ กับหลวงพ่อจง
พุทธสโร วัดหน้าต่าง จ.พระนครศรีอยุธยา และหลวงพ่อสนั่น วัดเสาธงทอง จ.อ่างทอง,หลวงพ่อจาด วัดบ้านสร้าง
จ.ปราจีนบุรี และได้ศึกษาสมถกรรมฐานกับพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อ.ภาษีเจริญ
จ.ธนบุรี และศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
กับพระราชสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ
      รวมทั้งได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษา
พระอภิธรรมกับอาจารย์เตชิน (ชาวพม่า)ที่วัดระฆัง จ.ธนบุรี และศึกษา
การพยากรณ์จากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ 
สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ กรุงเทพฯ และ
ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิตกับ อาจารย์ 
พ.อ. ชม สุคันธรัตในที่สุดเมื่อท่านมีวิชาความรู้มากพอ
ทางคณะสงฆ์ก็ได้ให้หลวงพ่อจรัญไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี 
ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดโบราณ ทรุดโทรม มี
เพียงพระบวชจำพรรษาเพียง ๒ รูป โดยหลวงพ่อได้เข้าไปพัฒนาและได้สอนกรรมฐาน
คติธรรมจนเป็นประโยชน์
แก่คนมากมายจนถึงปัจจุบัน  โดยหลวงพ่อจรัญลงรับแขกเวลา ๐๙.๓๐ น. และเวลา ๑๓.๓๐ น.
ของทุกวัน

"ว่าด้วยเรื่องกรรม ของหลวงพ่อ"
       ผลกรรมของหลวงพ่อจรัญ ที่ยกมาสอนในหนังสือกฎแห่งกรรมเรียกได้ว่าสมัยเด็กของหลวงพ่อจรัญได้
สร้างกรรมไว้
มากมาย โดยไม่สนใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ ซึ่งมีทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ โดยยกตัวอย่างดังนี้ แอบกิน
อาหารถวายพระเมื่อครั้ง
หลวงพ่อจรัญยังเป็นเด็กชายจรัญ ท่านกับเพื่อนเคยร่วมกันกินอาหารของยายที่จะนำไป
ถวายพระ ๒ ครั้ง จนสุดท้ายยายจับ
ได้จึงถูกตีอย่างหนักซึ่งยายสอนว่า อย่าทำแบบนี้ไม่เช่นนั้นจะเกิดเป็นเปรต
ปากเท่ารูเข็ม

"รับจ้างต้มเต่า-ขโมยปลา" 
       นอกจากนี้เด็กชายจรัญยังรับค่าจ้างจากวงเหล้าให้นำเต่าไปต้มจำนวน ๗ ตัว ระหว่างต้มเต่าพากันดิ้น ด้วย
ความทุรนทุรายจนหม้อแตกและพยายามหนีเข้ากอไผ่ เด็กชายจรัญเห็นดังนั้น จึงวิ่งไปจับตัวมาต้มอีกแต่เกิดเปลี่ยน
ใจเพราะเห็นเต่าร้องไห้ ดังคำที่ว่า ร้องไห้เป็นเผาเต่า จนสุดท้ายต้องขโมยปลาตากแห้งของป้ามาให้วงเหล้าแทน

"ยิงนก-หักคอหักขานก"
      ในช่วงปิดเทอมตอนนั้นยังไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ได้นำปืนไปตามทุ่งนาแล้วยิงนกเป็ดนกกระสา พอยิงได้ก็จะ
จับหักคอใส่ตะข้องแต่พอถูกนกจิกใส่ก็โกรธ จึงจับหักคอแล้วถลกหนังเลยและบางทีก็จับหักขา

"โกงเงินค่าเรือข้ามฟาก-เงินค่าก๋วยเตี๋ยว"
      สมัยนั้นเด็กชายจรัญต้องนั่งเรือจ้างข้ามฟากเดือนละ ๒๕ สตางค์ แต่ก็โกงไม่ให้ค่าเรือ นอกจากนี้ยังเคย
โกงเงินแม่ค้าไม่ให้ค่าก๋วยเตี๋ยวด้วยหลังจากที่เด็กชายจรัญได้เข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ และได้กลับมาอุปสมบทจน
กระทั่งมารักษาการเจ้าอาวาส ที่วัดอัมพวัน เมื่อปี ๒๔๙๙ ก็เริ่มรู้ชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ตามลำดับ จากการนั่งสมาธิ
โดยเริ่มจากชดใช้ค่าก๋วยเตี๋ยวด้วยการที่นางกลุ่มและสามีชื่อตากิ๊ม ที่เคยโกงเงินค่าก๋วยเตี๋ยวไว้แต่พวกเขาไม่รู้
เจ้าของเรือในอดีตได้นำลูกชายมาฝากบวชที่วัดอัมพวัน เนื่องจากทั้งคู่ฝันพร้อมกันว่าหากอยากให้ลูกชายหาย
เกเรให้พามาบวชที่วัดนี้ ได้ฟังดังนั้นหลวงพ่อจรัญจึงได้รับไว้และโกนผมให้ ก่อนจะซื้อผ้าไตร ซื้อรองเท้า ซื้อ
เสื่ออ่อนซื้อบาตร ซื้อร่ม ทั้งหมด ๒๐๐ บาท ก็ถือว่าหายกันกับค่าก๋วยเตี๋ยว
      ต่อมาจากการที่หลวงพ่อจรัญนั่งเจริญภาวนาและอโหสิกรรม แผ่เมตตาเป็นประจำก็รู้ได้ว่าต้องชดใช้หนี้กรรม
จากการต้มเต่า ซึ่งกรรมเหล่านี้ได้ลืมไปหมดแล้วแต่มีสติได้บอกว่า ให้ระวังพรุ่งนี้อย่าพาใครขึ้นรถไปด้วย เพราะจะทำ
ให้ตายกันหมดเพราะรถคว่ำซึ่งผลสุดท้าย ก็ไม่เอาใครไปเลยและได้ขับรถปิกอัพไปคนเดียวด้วยความเร็วขนาด ๑๒๐
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประกอบกับช่วงเวลานั้นฝนตก พอมาถึงอ่างทองฝนก็หยุดแต่ถนนมันลื่น จนมาถึงตรงโค้งวัดคูรถที่
มาด้วยความเร็วก็หมุนเลยและเสียหลักคว่ำ ๘ รอบศีรษะ ทำให้จีวรขาด รถพังยับเยินต้องทนปวดแสบปวดร้อนอยู่นาน
เป็นเดือน ถือเป็นการใช้หนี้เต่า แต่ยังไม่หมดเสียทีเดียว

     จากนั้นหลวงพ่อจรัญก็เกิดนิมิตล่วงหน้าว่า ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม อีก ๖ เดือนข้างหน้า ตนเองต้องคอหักตาย
อยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรีแน่นอน จึงได้เตรียมการล่วงหน้าทั้งการบริจาคเงิน จัดแจงหน้าที่ภายในวัด เมื่อถึงวันจริงหลัง
จากเสร็จสิ้นการประชุมเจ้าคณะหลวงพ่อจรัญก็ได้เดินทางกลับ เมื่อรถออกจากวัดเลี้ยวขวาเข้าลพบุรี บริเวณหลัง
ตลาดปากบาง ได้มีรถยนต์ที่ขับตามหลังมา ๓ คัน แซงซ้ายรถทัวร์วิ่งเข้าชน ทำให้นาวาตรีที่นั่งมาด้วยกระเด็น
ตัวลอยไปอยู่บนรถทัวร์

     ส่วนตัวหลวงพ่อจรัญ ไหล่ไปชนกับเหล็กจนหัก และถูกกระจกครูดเอาหนังหัวไปอยู่ตรงท้ายทอยจนหมด
คอพับไปที่หน้าอก หมุนได้เลยเลือดเต็มจมูก แต่ยังโชคดีที่ยังมีมือที่ยังใช้การได้พยายามจับดูว่าคอหักหรือเปล่า
เหมือนตายหมดแล้วทั้งตัว แต่ยังมีสติดีและรู้ว่าหายใจได้ทางท้องตรงสะดือ ก็พยายามยุบหนอพองหนอ ตลอด
ทางที่ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลก็เหมือนได้ยินและเห็นเต่ามาซ้ำเติม และถูกน้ำจากฝาหม้อน้ำหลุดออกมาลวกตัวจน
ร้อนไปหมดเมื่อถึงโรงพยาบาล หลวงพ่อจรัญก็ได้อธิษฐานว่าขอให้ข้าพเจ้าไปสบาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว ขออโหสิกรรม
ทุกอย่างกับโลกมนุษย์ รวมทั้งพยายามตั้งจิตยุบหนอพองหน้า เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บุรุษพยาบาลเข็นรถตกร่อง
ประตูเหล็กทำให้กระดูกที่คอเข้าที่ แต่ก็ต้องมาชดใช้หนี้กรรมที่กินข้าวถวายพระเพราะต้องใส่เฝือกจนอ้าปากไม่
ขึ้น กินอะไรไม่ได้ต้องใช้หลอดกาแฟหยอดอาหารแทน

การปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน
    การปฏิบัติธรรมสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการมาที่วัดอัมพวันนั้น จะมีแบบ ๓ วัน และ ๗ วัน ดังนี้
     –การเข้าปฏิบัติธรรมแบบ ๓ วัน สามารถไปลงทะเบียนได้ที่วัด ทุกวันศุกร์ ก่อน ๔ โมงเย็น และจะลาศีล(กลับบ้าน)
ก่อนบ่ายของวันอาทิตย์
     –การเข้าปฏิบัติธรรมแบบ ๗ วัน สามารถไปลงทะเบียนได้ที่วัด ทุกวันโกนก่อน ๔ โมงเย็นเช่นกันครับและลาศีล
ในวันโกนถัดไป (วันโกนคือวันก่อนวันพระ ๑ วัน)
    แต่สำหรับเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องนำหนังสืออนุญาตจากผู้ปกครองนำติดไปด้วย ซึ่งสามารถใช้วิธี
เขียน ระบุชื่อผู้ปกครองที่อนุญาตให้มาปฏิบัติธรรมกี่วัน พร้อมเบอร์โทรศัพท์และสำเนาบัตรประชาชน และเมื่อลง
ทะเบียนเสร็จแล้ว ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถนำสัมภาระเข้าไปเก็บยังที่พัก โดยจะมีที่ให้อาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดปฏิบัติ
ธรรมและลงมารอที่อาคารภาวนา ๑ ชั้นบน ในเวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น.ซึ่งจะมีท่านพระครูสอนกรรมฐานเบื้องต้น
    นอกจากนี้ทางวัดยังเปิดปฏิบัติธรรมให้แก่ชาวต่างชาติอีกด้วย สามารถอ่านรายละเอียดข้อบังคับได้ที่นี่

www.jarun.org

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
jarun.orgเฟซบุ๊ก ลูกศิษย์วัดอัมพวัน-จังหวัดสิงห์บุรีdhammajak.net,kanlayanatam.com,
คุณ Nattapong+ สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม