ประวัติของหลวงพ่อจรัญ
ชื่อเดิมคือ นายจรัญ จรรยารักษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๗๑ เวลา ๐๗.๑๐ น. ปัจจุบันอายุ ๘๗ ปี
เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวน ๑๐ คน มีบิดาชื่อ นายแพ จรรยารักษ์และมารดาชื่อ นางเจิม สุขประเสริญ มีอาชีพเป็น
ชาวนา ที่ ต.ม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี
ได้รับการอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๙๑ รวม ๖๗ พรรษา ส่วนวุฒิการศึกษาสำเร็จนักธรรมชั้นโท
ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี และที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๓ ชีวิตวัยเด็กของ จรัญ จรรยารักษ์
"ชีวิตวัยเด็ก"
วัยเด็กของเด็กชายจรัญ ถูกยาย อายุ ๘๐ ปี ขอไปเลี้ยงอยู่เป็นเพื่อน เนื่องจากตาลาบวชโดยได้ไปอยู่ที่
บ้านทรงไทยที่มีหลังบ้านติดกับลำน้ำลพบุรี และในเวลา ๐๔.๐๐ น.ของทุกวัน คุณยายจะตื่นขึ้นมาสวดมนต์เป็น
เวลา ๑ ชั่วโมง โดยมีเด็กชายจรัญคอยเตรียมอาหารไว้ให้ยายใส่บาตร จากนั้นสองยายหลานจะพากันไปเก็บผัก
ผลไม้ เพื่อหาบไปขายในตลาดก่อนที่เด็กชายจรัญจะไปโรงเรียน
แต่ทว่าเวลานั้นเด็กชายจรัญต้องย้ายโรงเรียนบ่อย เนื่องจากไม่ตั้งใจเรียน มีนิสัยเกเร ชอบเอาเวลาไปยิงนก
ตกปลาและสร้างวีรกรรมไว้มากมาย จนช่วงมัธยมเด็กชายจรัญถูกโรงเรียนไล่ออกและไม่มีโรงเรียนใดใน จ.สิงห์บุรี
รับเข้าเรียน ทั้งที่ยายสอนแต่สิ่งดีๆ ทำให้ยายต้องส่งเด็กชายจรัญไปอยู่กับปู่ ซึ่งเป็นคุณหลวงในกรุงเทพฯ และได้ไป
เป็นศิษย์ ดนตรีไทยของคุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะก่อนส่งตัวต่อไปฝากฝังกับ จอมพล ป. จนได้รับการสนับสนุนให้
เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่เมื่อเจอรุ่นพี่วางอำนาจใส่นายจรัญ ก็ทนไม่ได้ จนมีเรื่องกับรุ่นพี่ จึงต้อง
ลาออกจากโรงเรียนและกลับไปตั้งวงดนตรีไทยที่บ้าน
"อุปสมบท"
หลวงพ่อจรัญ อุปสมบท จนกระทั่งครบอายุบวช ยายก็ได้ให้นายจรัญอุปสมบทเมื่อปี ๒๔๙๑ ที่วัดพรหมบุรี
โดยมีพระพรหมนคราจารย์ เจ้าอาวาสวัดแจ้งพรหมนคร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรวิริยคุณวัดพุทธารามเป็นพระ
กรรมวาจาจารย์ ท่านได้รับฉายาว่า “ฐิตธมฺโม” ทั้งที่ขณะนั้นนายจรัญเกลียดพระสงฆ์ เพราะเจอพระทุศีลใช้ผ้าเหลือง
หากิน และเมื่อครบกำหนดสึกท่านได้เตรียมตัวสึก แต่ก็เลื่อนสึกถึง ๓ ครั้ง จนสมภารวัดบอกว่า ไม่สึกให้แล้วหากคิด
จะสึกก็ให้ไปวัดอื่น ท่านจึงออกเดินทางไปนมัสการพระพุทธชินราช เพื่อตั้งใจให้พระที่นั่นสึกให้ แต่ระหว่างทางได้
เจอโยมที่กำลังเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อเดิม ที่ จ.นครสวรรค์ ท่านจึงได้เดินทางไปด้วย เมื่อไปถึงก็ได้ฝากตัวเป็น
ศิษย์กับพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (เดิม พุทฺธสโร) ซึ่งท่านก็ได้สอนวิชาคชศาสตร์ให้ ซึ่งมีเพียงหลวงพ่อจรัญเพียงคน
เดียวที่ได้เรียน รวมถึงวิชาคาถาอื่นๆ จนท่านไม่ได้สึกอย่างที่ตั้งใจและคิดว่าคงต้องครองสมณเพศไปตลอด
นอกจากนี้หลวงพ่อยังได้ศึกษาวิชากับอาจารย์ท่านอื่นๆอีก เช่น พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์(ลี ธมมฺธโร)
และพระอริยคุณาธาร(เส็ง ปุสฺโส)จ.ขอนแก่น ต่อมาได้ศึกษาการทำเครื่องรางของขลังน้ำมันมนต์ กับหลวงพ่อจง
พุทธสโร วัดหน้าต่าง จ.พระนครศรีอยุธยา และหลวงพ่อสนั่น วัดเสาธงทอง จ.อ่างทอง,หลวงพ่อจาด วัดบ้านสร้าง
จ.ปราจีนบุรี และได้ศึกษาสมถกรรมฐานกับพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อ.ภาษีเจริญ
จ.ธนบุรี และศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับพระราชสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ
รวมทั้งได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาพระอภิธรรมกับอาจารย์เตชิน (ชาวพม่า)ที่วัดระฆัง จ.ธนบุรี และศึกษา
การพยากรณ์จากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ กรุงเทพฯ และ
ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิตกับ อาจารย์ พ.อ. ชม สุคันธรัตในที่สุดเมื่อท่านมีวิชาความรู้มากพอ
ทางคณะสงฆ์ก็ได้ให้หลวงพ่อจรัญไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดโบราณ ทรุดโทรม มี
เพียงพระบวชจำพรรษาเพียง ๒ รูป โดยหลวงพ่อได้เข้าไปพัฒนาและได้สอนกรรมฐานคติธรรมจนเป็นประโยชน์
แก่คนมากมายจนถึงปัจจุบัน โดยหลวงพ่อจรัญลงรับแขกเวลา ๐๙.๓๐ น. และเวลา ๑๓.๓๐ น.ของทุกวัน
"ว่าด้วยเรื่องกรรม ของหลวงพ่อ"
ผลกรรมของหลวงพ่อจรัญ ที่ยกมาสอนในหนังสือกฎแห่งกรรมเรียกได้ว่าสมัยเด็กของหลวงพ่อจรัญได้
สร้างกรรมไว้มากมาย โดยไม่สนใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ ซึ่งมีทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ โดยยกตัวอย่างดังนี้ แอบกิน
อาหารถวายพระเมื่อครั้งหลวงพ่อจรัญยังเป็นเด็กชายจรัญ ท่านกับเพื่อนเคยร่วมกันกินอาหารของยายที่จะนำไป
ถวายพระ ๒ ครั้ง จนสุดท้ายยายจับได้จึงถูกตีอย่างหนักซึ่งยายสอนว่า อย่าทำแบบนี้ไม่เช่นนั้นจะเกิดเป็นเปรต
ปากเท่ารูเข็ม
"รับจ้างต้มเต่า-ขโมยปลา"
นอกจากนี้เด็กชายจรัญยังรับค่าจ้างจากวงเหล้าให้นำเต่าไปต้มจำนวน ๗ ตัว ระหว่างต้มเต่าพากันดิ้น ด้วย
ความทุรนทุรายจนหม้อแตกและพยายามหนีเข้ากอไผ่ เด็กชายจรัญเห็นดังนั้น จึงวิ่งไปจับตัวมาต้มอีกแต่เกิดเปลี่ยน
ใจเพราะเห็นเต่าร้องไห้ ดังคำที่ว่า ร้องไห้เป็นเผาเต่า จนสุดท้ายต้องขโมยปลาตากแห้งของป้ามาให้วงเหล้าแทน
"ยิงนก-หักคอหักขานก"
ในช่วงปิดเทอมตอนนั้นยังไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ได้นำปืนไปตามทุ่งนาแล้วยิงนกเป็ดนกกระสา พอยิงได้ก็จะ
จับหักคอใส่ตะข้องแต่พอถูกนกจิกใส่ก็โกรธ จึงจับหักคอแล้วถลกหนังเลยและบางทีก็จับหักขา
"โกงเงินค่าเรือข้ามฟาก-เงินค่าก๋วยเตี๋ยว"
สมัยนั้นเด็กชายจรัญต้องนั่งเรือจ้างข้ามฟากเดือนละ ๒๕ สตางค์ แต่ก็โกงไม่ให้ค่าเรือ นอกจากนี้ยังเคย
โกงเงินแม่ค้าไม่ให้ค่าก๋วยเตี๋ยวด้วยหลังจากที่เด็กชายจรัญได้เข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ และได้กลับมาอุปสมบทจน
กระทั่งมารักษาการเจ้าอาวาส ที่วัดอัมพวัน เมื่อปี ๒๔๙๙ ก็เริ่มรู้ชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ตามลำดับ จากการนั่งสมาธิ
โดยเริ่มจากชดใช้ค่าก๋วยเตี๋ยวด้วยการที่นางกลุ่มและสามีชื่อตากิ๊ม ที่เคยโกงเงินค่าก๋วยเตี๋ยวไว้แต่พวกเขาไม่รู้
เจ้าของเรือในอดีตได้นำลูกชายมาฝากบวชที่วัดอัมพวัน เนื่องจากทั้งคู่ฝันพร้อมกันว่าหากอยากให้ลูกชายหาย
เกเรให้พามาบวชที่วัดนี้ ได้ฟังดังนั้นหลวงพ่อจรัญจึงได้รับไว้และโกนผมให้ ก่อนจะซื้อผ้าไตร ซื้อรองเท้า ซื้อ
เสื่ออ่อนซื้อบาตร ซื้อร่ม ทั้งหมด ๒๐๐ บาท ก็ถือว่าหายกันกับค่าก๋วยเตี๋ยว
ต่อมาจากการที่หลวงพ่อจรัญนั่งเจริญภาวนาและอโหสิกรรม แผ่เมตตาเป็นประจำก็รู้ได้ว่าต้องชดใช้หนี้กรรม
จากการต้มเต่า ซึ่งกรรมเหล่านี้ได้ลืมไปหมดแล้วแต่มีสติได้บอกว่า ให้ระวังพรุ่งนี้อย่าพาใครขึ้นรถไปด้วย เพราะจะทำ
ให้ตายกันหมดเพราะรถคว่ำซึ่งผลสุดท้าย ก็ไม่เอาใครไปเลยและได้ขับรถปิกอัพไปคนเดียวด้วยความเร็วขนาด ๑๒๐
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประกอบกับช่วงเวลานั้นฝนตก พอมาถึงอ่างทองฝนก็หยุดแต่ถนนมันลื่น จนมาถึงตรงโค้งวัดคูรถที่
มาด้วยความเร็วก็หมุนเลยและเสียหลักคว่ำ ๘ รอบศีรษะ ทำให้จีวรขาด รถพังยับเยินต้องทนปวดแสบปวดร้อนอยู่นาน
เป็นเดือน ถือเป็นการใช้หนี้เต่า แต่ยังไม่หมดเสียทีเดียว
จากนั้นหลวงพ่อจรัญก็เกิดนิมิตล่วงหน้าว่า ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม อีก ๖ เดือนข้างหน้า ตนเองต้องคอหักตาย
อยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรีแน่นอน จึงได้เตรียมการล่วงหน้าทั้งการบริจาคเงิน จัดแจงหน้าที่ภายในวัด เมื่อถึงวันจริงหลัง
จากเสร็จสิ้นการประชุมเจ้าคณะหลวงพ่อจรัญก็ได้เดินทางกลับ เมื่อรถออกจากวัดเลี้ยวขวาเข้าลพบุรี บริเวณหลัง
ตลาดปากบาง ได้มีรถยนต์ที่ขับตามหลังมา ๓ คัน แซงซ้ายรถทัวร์วิ่งเข้าชน ทำให้นาวาตรีที่นั่งมาด้วยกระเด็น
ตัวลอยไปอยู่บนรถทัวร์
ส่วนตัวหลวงพ่อจรัญ ไหล่ไปชนกับเหล็กจนหัก และถูกกระจกครูดเอาหนังหัวไปอยู่ตรงท้ายทอยจนหมด
คอพับไปที่หน้าอก หมุนได้เลยเลือดเต็มจมูก แต่ยังโชคดีที่ยังมีมือที่ยังใช้การได้พยายามจับดูว่าคอหักหรือเปล่า
เหมือนตายหมดแล้วทั้งตัว แต่ยังมีสติดีและรู้ว่าหายใจได้ทางท้องตรงสะดือ ก็พยายามยุบหนอพองหนอ ตลอด
ทางที่ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลก็เหมือนได้ยินและเห็นเต่ามาซ้ำเติม และถูกน้ำจากฝาหม้อน้ำหลุดออกมาลวกตัวจน
ร้อนไปหมดเมื่อถึงโรงพยาบาล หลวงพ่อจรัญก็ได้อธิษฐานว่าขอให้ข้าพเจ้าไปสบาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว ขออโหสิกรรม
ทุกอย่างกับโลกมนุษย์ รวมทั้งพยายามตั้งจิตยุบหนอพองหน้า เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บุรุษพยาบาลเข็นรถตกร่อง
ประตูเหล็กทำให้กระดูกที่คอเข้าที่ แต่ก็ต้องมาชดใช้หนี้กรรมที่กินข้าวถวายพระเพราะต้องใส่เฝือกจนอ้าปากไม่
ขึ้น กินอะไรไม่ได้ต้องใช้หลอดกาแฟหยอดอาหารแทน
การปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน
การปฏิบัติธรรมสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการมาที่วัดอัมพวันนั้น จะมีแบบ ๓ วัน และ ๗ วัน ดังนี้
–การเข้าปฏิบัติธรรมแบบ ๓ วัน สามารถไปลงทะเบียนได้ที่วัด ทุกวันศุกร์ ก่อน ๔ โมงเย็น และจะลาศีล(กลับบ้าน)
ก่อนบ่ายของวันอาทิตย์
–การเข้าปฏิบัติธรรมแบบ ๗ วัน สามารถไปลงทะเบียนได้ที่วัด ทุกวันโกนก่อน ๔ โมงเย็นเช่นกันครับและลาศีล
ในวันโกนถัดไป (วันโกนคือวันก่อนวันพระ ๑ วัน)
แต่สำหรับเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องนำหนังสืออนุญาตจากผู้ปกครองนำติดไปด้วย ซึ่งสามารถใช้วิธี
เขียน ระบุชื่อผู้ปกครองที่อนุญาตให้มาปฏิบัติธรรมกี่วัน พร้อมเบอร์โทรศัพท์และสำเนาบัตรประชาชน และเมื่อลง
ทะเบียนเสร็จแล้ว ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถนำสัมภาระเข้าไปเก็บยังที่พัก โดยจะมีที่ให้อาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดปฏิบัติ
ธรรมและลงมารอที่อาคารภาวนา ๑ ชั้นบน ในเวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น.ซึ่งจะมีท่านพระครูสอนกรรมฐานเบื้องต้น
นอกจากนี้ทางวัดยังเปิดปฏิบัติธรรมให้แก่ชาวต่างชาติอีกด้วย สามารถอ่านรายละเอียดข้อบังคับได้ที่นี่
www.jarun.org
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
jarun.org, เฟซบุ๊ก ลูกศิษย์วัดอัมพวัน-จังหวัดสิงห์บุรี, dhammajak.net,kanlayanatam.com,
คุณ Nattapong+ สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม