หลวงพ่อเชน คงฺคสุวณฺโณ
29 กันยายน 2560

/data/content/289/cms/befkostw1789.jpg

     ประวัติวัดสิงห์ วัดสิงห์ตั้งอยู่ที่บ้านวัดสิงห์ หมู่ ๘ ต.ทับยา อำเภออินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
วัดสิงห์ น่าจะเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งควรมีอายุ อยู่ระหว่างกรุศรีอยุธยาตอนปลายต่อจากกรุง
รัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือประมาณเป็นอายุก็ควรอยู่ระหว่าง ๓๐๐-๒๐๐ คาดเดาอายุ
โดยอาศัยการพิจารณาเจดีย์เก่าในวัด
   ลักษณะรูปสัณฐานของเจดีย์พอจะบ่งบอกได้ถึงศิลปะ สกุลช่าง ซึ่งประมาณว่าเป็นช่าง
ตอนปลายกรุงศรีอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ข้อมูลอื่นๆและลำดับอดีตเจ้าอาวาส ไม่มี
ข้อมูลใดๆ บ่งบอกไว้ จนมาถึงสมัยหลวงพ่อเชน

/data/content/289/cms/cdegkrstwx69.jpg

    ประวัติหลวงพ่อเชน หลวงพ่อท่าน มีนามเดิมว่า "เชน แดงน้อย" เกิดเมื่อปี ๒๔๓๓ ณ
ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรีโดยมีพี่น้องรวมกันทั้งหมด ๔ คน หลวงพ่อเชน เป็นคนที่
สองเป็นบุตรของ นายจ่าง นางทองย้อย สกุล สุวรรณลำภู เป็นช่างวัดสิงห์
    แต่เดิม บิดามารดาก็ประกอบอาชีพทำนา โดยหลวงพ่อเชนท่านเป็นบุตรคนสุดท้องมี
พี่ชายและพี่สาว ๔ คนตามลำดับดังนี้ ๑.คุณยายปลิก ๒.หลวงตาคำ (อุปสมบทเป็นพระ)
๓.คุณยายคล้อย ๔.คุณยายใจ พี่ชายและพี่สาวหลวงพ่อเชนทั้ง ๔ คนถึงแก่กรรมหมดแล้ว
    ในวัยเด็กนั้นหลวงพ่อท่านออกจะเป็นคนอาภัพสักหน่อยเพราะว่าบิดามารดา ของท่าน
ด่วนจากไปตั้งแต่ท่านยังเล็กๆ ท่านจึงต้องอยู่ภายใต้การอุปการะของพี่สาวคนโต คือคุณยาย
ปลิก คุณยายปลิกนั้น ท่านแต่งงานแล้วย้ายครอบครัวไปอยู่กับสามีที่บ้านห้วยดอนกระเบื้อง
ซึ่งก็ไม่ไกลจากวัดสิงห์นัก หลวงพ่อเชนในวัยเด็กท่านเป็นคนบอบบางร่างเล็กไม่แข็งแรง
เมื่อไปอยู่กลับพี่สาวนั้นอายุอยู่ราวๆ ๑๒ – ๑๓  ขวบ
     ขณะนั้นพี่สาว คือ คุณยายปลิกก็ยังไม่มีบุตร – ธิดา เพราะฉะนั้นหลวงพ่อเชน
หรือเด็กชายเชน ในขณะนั้นก็ต้องช่วยการงานของพี่สาวสารพัดตั้งแต่เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย
ทำนา เกี่ยวข้าว คุณลุงสมควร ศรีจันทร์ และคุณลุงหงส์ บุญเหลือ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน
ของหลวงพ่อได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า เมื่อต้องรับผิดชอบงานหนักเข้า สุขภาพร่างกายของ
หลวงพ่อก็ย่ำแย่เพราะเป็นคนไม่แข็งแรงอยู่แล้ว จึงแอบคิดอยู่ในใจว่าต้องต้องหาวิธีที่ไม่ต้อง
เลี้ยงควาย และเกี่ยวข้าว แต่เรื่องเกี่ยวข้าวดูจะไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่ากับการเลี้ยงควาย เพราะ
ถ้าควายดื้อไม่ทำตามท่านก็ไม่กล้าตีเพราะเป็นคนมีเมตตาต่อสัตว์มาตั้งแต่เด็ก
     เมื่อท่านไม่กล้าตีควาย ควายก็เป็นต้นเหตุให้ท่านถูกพี่สาวตี เพราะไม่ดูแลปล่อยให้
ควายลงไปในนาข้าวบ้าง บุกรุกเข้าไปกินยอดผักใบไม้ของเพื่อนข้างบ้านบ้าง จึงถูกตีอยู่เป็น
ประจำ หลวงพ่อเชนท่านเคยปรารภกับญาติโยมในชั้นหลังว่า ควายมันเป็นสัตว์ที่มีคุณแก่คน
อย่างมาก มันสละแรงกาย รับใช้ ไถนา ให้กับเราแต่พอมัน จะขอรับส่วนแบ่งแรงงานของ
มันบ้าง ก็ต้องมาถูกทุบตี ท่านสงสาร ท่านทำไม่ได้ สู้ยอมถูกพี่สาวตีเสียเองจะดีกว่า
     เมื่อท่านได้อ่านประวัติของหลวงพ่อเชนจะเห็นได้ว่าหลวงพ่อท่านเป็นผู้เมตตามา
ตั้งแต่อยู่ในวัยเด็ก ท่านยังรู้ว่า ควายซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นมันมีบุญคุณต่อคนอย่างพวกเรา
แทนที่ท่านจะเฆี่ยนตีควายท่านยอมให้พี่สาวเฆี่ยนตีเสียดีกว่าคุณธรรมอันนี้นับว่าจะหายากยิ่ง

   
"บรรพชาเป็นสามเณร"
    สมัยที่ยังเป็นเด็ก "หลวงพ่อเชน" มีหน้าที่ช่วยเหลือในการทำนา งานหลักก็คือ การเลี้ยง
ควาย มีอยู่วันหนึ่งที่เป็นเหตุทำให้เด็กชายเชน ต้องก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เป็นศิษย์ของพระ
ตถาคต ขณะที่ ด.ช.เชน นำควายไปเลี้ยงกลางทุ่ง ควายเกิดดื้อ ด.ช.เชน เกิดความโมโห จึง
ใช้มีดปลายแหลมขว้างไปที่ควายตัวนั้น ถูกเข้าที่ขาควายได้รับบาดเจ็บ เมื่อกลับถึงบ้าน พี่สาว
ทราบเรื่อง จึงเกิดความโกรธ ถึงกับลงมือทุบตี และออกปากขับไล่ด้วยความโมโห เมื่อถูก
เฆี่ยนตีหนักเข้า หลวงพ่อเชนท่านจึงเล็งเห็นว่า "ชีวิตในเพศฆราวาสล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ ฝืนใจ
ตัวเอง โดนทุบตีควายก็เป็นทุกข์ไม่ทำก็ถูกพี่สาวเฆี่ยนตีก็เป็นทุกข์ จึงเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย
อยากจะหลีกหนีให้พ้นจากความทุกข์พยายามมองหาวิธีตามประสาเด็ก"
     แต่ก็หาไม่พบครั้นจะหนีไปอยู่ที่อื่นก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเหล่านี้เอง จึงได้พยายาม
คิดหาหนทางที่จะให้หลุดจากภาระหน้าที่เลี้ยงควายเสียก่อน เมื่อได้คิดดูอย่างละเอียด
แล้วเห็นว่าถ้ายังเป็นฆราวาสอยู่ก็คงหนีไม่พ้น และแลเห็นว่าพระเณรท่านไม่ต้องยุ่งเกี่ยว
กับเรื่องเหล่านี้ ด.ช.เชน เคยหนีไปเป็นเด็กวัด อาศัยอยู่กับ หลวงพ่ออิ่ม วัดสุทธาวาส
ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากบ้านพักมากนัก ทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่ออิ่ม
     ต่อมาเมื่อ ด.ช.เชน อายุ ๑๒ ปี หลวงพ่ออิ่มจึงจัดการบวชเณรให้ และสอน
พระธรรมวินัย ตลอดจนวิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาคมให้ สามเณรเชน จนมีความ
เชี่ยวชาญพอสมควร หลวงพ่อท่านคิดว่าท่านพบหนทางที่ดีแล้ว จึงปรารภเรื่องนี้กับ
พี่สาว พี่สาวนั้นเมื่อรู้ว่าน้องอยากจะบวชนั้น ก็รู้สึกดีใจเพราะตัวเองไม่รู้ว่าน้องจะบวช
หนีทุกข์ที่ถูกเฆี่ยนตี และตั้งแต่ว่าจะบวชไม่สึก จึงจัดการบรรพชาให้เสียที่วัดสุทธาวาส
ซึ่งสมัยก่อนนั้นเรียกว่าวัดใหม่
      เมื่อสามเณรเชน มีอายุได้ ๒๓ ปี ตรงกับปี ๒๔๕๕ หลวงพ่ออิ่มจึงอุปสมบท
ให้สามเณรเชน โดยมีท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาแล้วก็ได้ศึกษาธรรมะ
ต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์ซึ่งคือ หลวงพ่ออิ่มและอาจารย์ต่างๆ อีกหลายรูปหลวงพ่อ
ท่านคงสร้างสมบารมีของการบวชมาแต่อดีตชาติ   เพราะเมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว
ก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมคำสั่งสอนต่าง ๆ และจดจำได้อย่างแม่นยำไม่เป็น
ที่หนักใจแก่ครูอาจารย์ เมื่อเป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ความรู้ต่างๆ ก็ได้รับการ
ถ่ายทอดให้จนหมดสิ้น ทั้งทางด้านปริยัติธรรม พระสูตร พระวินัยต่างๆ ก็เคร่งครัดหมด
จนศีลของท่านไม่เคยด่างพร้อยมาตั้งแต่เป็นสามเณร
    เมื่อมีศีลมีธรรมสุขภาพร่างกายของท่านที่เคยอ่อนแอก็กลับเข้มแข็งกระชุ่มกระชวย
มีสง่าราศีเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร  พระภิกษุเชน พำนักอยู่กับหลวง
พ่ออิ่มอีก ๓ ปี จึงขออนุญาตหลวงพ่อออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาความหลุดพ้น โดยมุ่งตรงสู่
ภาคเหนือและอีสาน   กลับมาอีกครั้งเมื่อทราบว่า หลวงพ่ออิ่มมรณภาพแล้ว จึงย้ายไปจำ
พรรษาอยู่ที่ วัดสิงห์ และอยู่ต่อมาจนกระทั่งครองตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสิงห์
      ในด้านการศึกษาวิทยาคมของหลวงพ่อเชน นอกจากท่านจะศึกษากับหลวงพ่ออิ่มแล้ว
ท่านยังไปฝากตัวศึกษากับ หลวงปู่ศรี วัดพระปรางค์ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี สุดยอดพระคณา
จารย์ผู้มีวาจาสิทธิ์ และเชี่ยวชาญทางด้านไสยเวทของเมืองสิงห์บุรี(บางแห่งเขียนชื่อท่าน
เป็น "สี" ซึ่งท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ด้วย) ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ หลวง
พ่อเชน มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จัดอยู่ในพระคณาจารย์ระดับแนว
หน้าท่านหนึ่งของเมืองไทย
     หลวงพ่อเชน ท่านสนิทสนมกับหลวงพ่อฟุ้ง วัดสะเดา เป็นอย่างมากและไปมาหา
สู่กันประจำ มีงานก็มักจะช่วยกันประจำ หลวงพ่อเชน ท่านมีผีมือในศิลปะการปั้น การวาด
งานศพของหลวงพ่อศรี ท่านยังปั้นเสือไว้ที่เมรุเผาศพด้วย เพราะหลวงพ่อท่านสำเร็จ
วิชาเสือสมิง 

/data/content/289/cms/degjloruyz27.jpg

   “เสือ” “สาง“ “สมิง”
    สามอย่างนี้หลายคนมักจะเข้าใจสับสนกัน โดยเฉพ
าะ “สาง” กับ “สมิง” ความเรื่องความแตก
ต่างของ ๒ อย่างนี้ ขออธิบายไว้ไว้พอสังเขป เรื่องเสือนั้นคงไม่ต้องบอกก็รู้ว่า
เป็นสัตว์ป่าดุร้าย
เรียกกันว่า เจ้าป่า “สาง” นี้หมายถึงเสือกินคน ที่ถูกอาถรรพณ์ของวิญญาณเข้าสิง
จนสามารถ
แปลงร่างเป็นคน คอยล่อหลอกให้คนเดินป่า หรือพรานหลงเชื่อแล้วจับกินเสีย แต่กว่า
จะกลายเป็น
“สาง” ก็ต้องกินคนมามากมายหลายคนแล้ว และวิญญาณคนที่ถูกเสือกินนั่นแหละก็กลับ
มาเข้า
สิงเสือตัวนั้น
     “สมิง” หมายถึงวิชาทางไสยศาสตร์ที่เกี่ยวกับการแปลงร่างของคนเป็นเสือ 
แต่เป็นเพียงภาพ
ลวงตาตามปกติ สมิงจะทำร้ายคนหรือขบกัดกินคน สมิงจะมีกิริยาการเคลื่อนไหว
ที่เชื่องช้าสงบนิ่ง
ส่วนมากจะมอบอยู่เฉยๆ เพราะคนที่ฝึกไสยศาสตร์แขนงนี้สำเร็จจะต้องปฏิบัติสมาธิ
มาอย่างชำนาญ
และขณะที่เป็นสมิงอยู่ก็กำลังอยู่ในสมาธิ มีสติครองอยู่จะไม่ทำร้ายคนแต่คนที่พบ
เห็นจะเกิดความ
กลัวไปเอง เรื่อง “สมิง” นี้มักมีนักเขียนเรื่องป่าเข้าใจผิดนำไปเขียนในทำนองว่า
พบเสือสมิงกิน
คนแล้วพากันออกล่า พอล่าได้ก็กลายเป็นคนบ้าง เสือเป็นเสือป่า 

       ความจริงเรื่องที่พรานป่าในนิยายล่ามาได้นั้นเป็นสางไม่ใช่สมิง เอ หลายท่านคงสงสัย ว่า
วิชาเสือสมิงนี้เค้าฝึกกันทำไม หลายท่านคงเคยได้ทราบเรื่องที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
ท่านเสกทหารของกรมหลวงชุมพรเป็นจระเข้มาบ้างแล้ว วิชาเสือสมิงก็อาจจะคล้ายๆ กัน เพียงแต่
ผู้ฝึกวิชานี้สำเร็จไม่ได้เสกให้คนอื่นเป็นเสือ แต่ตัวเองจะกลายเป็นร่างเป็นเสือเอง ส่วนที่ว่าอาจารย์
ผู้ฝึกสำเร็จวิชาเสือสมิงบางรายพอแปลงร่างเป็นเสือแล้ว ไม่สามารถกลับกลายเป็นคนได้ก็มีเรื่อง
นี้คงมีเคล็ดลับบางอย่าง พระเถราจารย์รุ่นเก่าที่สำเร็จวิชาเสือสมิงเท่าที่ทราบก็มี หลวงพ่อปาน
วัดคลองด่านสมุทรปราการ

/data/content/289/cms/efgikv245679.jpg

       ส่วนคณาจารย์รุ่นหลังคือก่อน พ.ศ.๒๕๐๐เล็กน้อย (หมายถึงท่านอาจมีชีวิต มาถึงหลัง
พ.ศ.๒๕๐๐ ก็ได้) ที่ฝึกวิชาเสือสมิงสำเร็จก็มี หลวงพ่อสมจิตร วัดสว่างอารมณ์ (ศิษย์หลวงพ่อปาน)
หลวงพ่อวงค์ วัดปริณวาส (องค์นี้ก็เข้าใจว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อปานเช่นกัน)
      เรื่องที่หลวงพ่อเชนท่านสำเร็จวิชาเสือสมิง มีผู้ยืนยันว่าได้เคยเห็นมากับตาตนเอง ๒ ราย
รายหนึ่งนั้นคือ คุณ อารมณ์ ช้างทอง อยู่บ้านเลขที่ ๓๘ หมู่ ๘ ตำบลทับยา อ.อินทร์บุรี คุณอารมณ์
เล่าว่าไม่ใช่เคยเห็นครั้งเดียว แต่ที่เคยเห็นเต็มตานั้นเป็นเวลากลางวันด้วย ขณะนั้นคุณอารมณ์ลง
อาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาหลังวัด พอขึ้นจากการอาบน้ำก็แลไปเห็นเสือลายพาดกลอนขนาด ๘ ศอก
สูงใหญ่ ขนาดน้องๆม้า หมอบอยู่ในป่ายางภายในบริเวณวัด แรกทีเดียวรู้สึกตกใจ แต่พอนึกได้ว่า
ในละแวกวัดสิงห์ไม่ใช่ป่าทึบ อย่าว่าแต่เสือเลย สัตว์อื่นๆก็ไม่มี และนึกต่อไปได้ว่าหลวงพ่อท่านฝึก
วิชาเสือสมิงสำเร็จ เพราะเคยหยอกล้อกับคนขับรถของชลประทานถึงกับแผ่นมาแล้ว ก็เลยไม่กลัว
      คนขับรถชลประทานที่คุณอารมณ์พูดถึงนี้ก็คือ บุคคลที่ ๒ ที่เคยเห็นหลวงพ่อแปลงร่างเป็น
เสือสมิง แกชื่อ นายผ่อง แต่จำนามสกุลไม่ได้ ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อเชนเคยถามนายผ่องว่า
“เฮ้ย ผ่อง เอ็งกลัวเสือมั้ยวะ” ตอนนั้นนายผ่องมาพักอยู่ที่วัด เพราะรถพวกชลประทานมาเก็บไว้ที่วัด
นายผ่องนึกไม่ถึงว่าเสือจะมาจากไหน จึงตอบหลวงพ่อไปว่า “ผมไม่กลัวหรอกครับหลวงพ่อ เสือนะ”
คืนนั้น นายผ่องนอนหลับไปแล้ว แต่ตกดึกหูได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำอยู่ข้างนอก พยายามฟังดูก็เข้าใจว่า
ไม่ใช่เสียงคนแน่ จึงแอบดูตามช่อง พอเห็นเข้าก็ตกใจกลัวแทบสิ้นสติ เพราะเจ้าของเสียงฝีเท้าข้าง
นอก คือเสือลายพาดกลอนตัวเขื่องตัวโตมาก นายผ่องเฝ้าดูอยู่พักหนึ่งก็เลยเห็นเสือเดินหายไป
     พอรุ่งเช้า นายผ่องมาหาหลวงพ่อเล่าเรื่องเสือให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อ จึงย้อนถามว่า “ไหนเอ็ง
บอกว่าไม่กลัวเสือ แล้วทำไมต้องมาบอกข้าด้วยละ” เรื่องที่หลวงพ่อสำเร็จวิชาเสือสมิงนี้ ไม่เพียงรู้กัน
เฉพาะสองคนนี้เท่านั้น ศิษย์คนอื่นๆต่างก็ทราบกันดีแต่ไม่เคยจังๆ อย่างคุณอารมณ์และนายผ่อง
คนงานชลประทานที่กล่าวถึง ศิษย์ในสายคุณพ่อศรี ที่สำเร็จวิชาเสือสมิง ที่มีการบันทึกหรือกล่าว
ถึง ก็มี หลวงพ่อหร่ำ วัดวังจิก ใครไปลองดีกับท่าน มักจะเจอกับเสือ จนแทบวิ่งออกจากวัด อีกองค์
คือหลวงปู่กวย วัดโฆสิตาราม องค์นี้ไม่ต้องกล่าวอธิบายท่านสำเร็จวิชาเก่งๆแทบทุกแขนง
      ส่วนรุ่นต่อมา ที่ผมได้ฟังมาจากคนใกล้ชิด คือ หลวงพ่อแสวง วัดหนองอีดุก หลวงพ่อแหวงนี้
ดังทางสัก ตะกรุดและเหรียญท่านเหนียว อุดปืนได้เก่ง ไม่แพ้เกจิรุ่นก่อนๆเลย ท่านเคยแปลงร่างเป็น
เสือสมิง โดยที่หลานของท่านเคยตื่นมาเห็น วิชานี้หลวงพ่อแหวง ไม่ถ่ายทอดให้ใคร ท่านบอกกลัว
แปลงร่างไปแล้ว อาจกลับคืนไม่ได้
/data/content/289/cms/fghmpqrz1678.jpg
     
"หลวงพ่อวาจาสิทธิ์"
       วาจาสิทธิ์ ขอเขียนเรื่องวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องที่ชาวบ้าน
วัดสิงห์ต่างก็รู้กันดี
      เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของคนบาป อีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวบ้านวัดสิงห์ และทุกวันนี้ลูกหลานของผู้นี้
ก็ยังอยู่ จึงไม่ขอบอกชื่อของคนผู้นี้ แต่ถ้าถามชาวบ้านวัดสิงห์ดูต่างก็รู้กันดี เรื่องมีอยู่ว่าได้มีลูกศิษย์
คนหนึ่งเอาสร้อยคอทองคำ พร้อมด้วยพระเลี่ยมทองมาให้หลวงพ่อท่านลงและปลุกเสกเพิ่มเติมให้
และได้เอาทิ้งไว้ให้หลวงพ่อปลุกเสกสัก ๓ วัน แต่ก่อนที่เจ้าของจะมารับสร้อยและพระคืน ได้ถูก
คนบาปผู้หนึ่งหยิบฉวยเอาไปจากหลวงพ่อก่อน หลวงพ่อท่านเอง รู้ว่าใครเป็นคนเอาไป แต่ท่าน
ไม่ต้องการให้เกิดการเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน จึงพูดเป็นนัยๆ ว่าให้เอา
มาคืนเสีย เพราะหลวงพ่อท่านจะได้ส่งคืนเจ้าของ แต่คนผู้นั้นไม่ยอมรับรู้ และไม่เอามาคืนให้
กับหลวงพ่อ จนกระทั่งท่านต้องทักออกไปว่าถ้าไม่เอามาคืนจะต้องเลือดตกยางออกนะ
     เพียงวันรุ่งขึ้นที่หลวงพ่อท่านทักอย่างนั้น คนบาปคนนั้นก็ไปนาตามปกติ ขณะที่กำลัง
เกี่ยวข้าวอยู่ หนูนาวิ่งผ่านหน้าจึงไช้สันเคียวไล่ตีหนู แต่พอดีปลายเคียวไปเกี่ยวเอาซางข้าว
ทำให้สะดุดและเท้าไปเหยียบเอาเคียวเต็มแรง ถึงกับถูกเคียวบาดเป็นแผลเหวอะเอียดเปลอะ
ไปหมด เมื่อทำบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ก็นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่บอกว่า ถ้าไม่เอามาคืน
จะต้องเลือดตกยางออก จึงเกิดการเกรงกลัวต่อวาจาของหลวงพ่อ และรีบเอาสร้อยทองพร้อมพระ
ไปคืนให้กลับหลวงพ่อ เข้าทำนองสุภาษิต จีนที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา”

     "ปาฏิหาริย์หอประชุมพัง" สมัยหลวงพ่ออยู่ท่านสร้างห้อประชุมใหญ่ ๒ ชั้น ไว้หลังหนึ่งเอา
ไว้สำหรับเป็นที่ประกอบศาสนกิจเวลาญาติโยมมาชุมนุมกันจำนวนมาก หอประชุมหลังนี้มีขนาด
ใหญ่มาก ขนาด ๒ หน้ามุข แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะว่าถึงเวลาชำรุดทรุดโทรมหรือว่าการก่อสร้าง
ผิดแบบผิดแปลนอย่างไร เพราะอยู่ ๆ ก็พังครืนลงมา พังไม่พังเปล่าในขณะที่พังลงมาหลวงพ่อ
ท่านจำวัดอยู่ในหอประชุมชั้นล่าง ในวันที่หอประชุมพังลงมา บรรดาศิษย์ต่างก็เป็นห่วงหลวงพ่อ
เพราะทราบว่า หลวงพ่อท่านจำวัดอยู่ชั้นล่าง แต่หอประชุมชั้นบนพังลงมาทับเอาไว้ทั้งหลัง
     หลวงพ่อคงต้องได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัสแน่นอน จึงได้มาช่วยกันรื้อค้นหาโกลาหล
ที่ค้นก็ค้นกันไป ที่เป็นห่วงมากก็ตะโกนเรียกหลวงพ่ออยู่โหวกเหวก แต่ก็ไม่มีเสียงขานตอบจาก
หลวงพ่อ คนที่ค้นหาก็ยังไม่พบจึงทำให้หลายคนรู้สึกเบาใจ เพราะคิดว่าหลวงพ่อท่านคงไม่ได้
อยู่ในขณะที่หอประชุมพังลงมา แต่ก็ยังไม่หยุดค้นหา พักใหญ่ต่อมา บรรดาศิษย์ก็ยังไม่หยุด
ค้นหา พอช่วยกันรื้อกองไม้ขึ้น กองหนังซึ่งพังลงมากองเป็นระเบียบเป็นรูปคล้ายกับซุ้มหรือกระโจม
เล็กๆ พอรื้อออกมาหมดก็เลยเห็นหลวงพ่อท่านนอนยิ้มอยู่ข้างใน พอชาวบ้านเห็นว่าหลวงพ่อ
ไม่ได้รับอันตรายต่างก็พากันโล่งอก บางคนก็บ่นว่าค้นหากันอยู่ตั้งนาน ตะโกนเรียกก็แล้ว
หลวงพ่อก็ไม่ขาน แต่กลับมานอนยิ้มด้วยความชอบใจอยู่
      เมื่อรู้ว่าหลวงพ่อไม่ได้รับอันตรายเลย ต่างก็พากันแปลกอกแปลกใจและถามหลวงพ่อว่า
เจ็บปวดตรงไหนบ้าง หลวงพ่อท่านก็บอกว่าไม่เจ็บไม่ปวดเลย

/data/content/289/cms/bcdeisv24569.jpg

     
"เรื่อง เต่าวัดสิงห์"
     ในสระน้ำที่วัดสิงห์ หลวงพ่อท่านให้เป็นที่อาศัยของ ปู ปลา เต่า ที่ชาวบ้านนำมาปล่อย
เพื่อแก้เคล็ดแก้บนสะเดาะเคราะห์ ทุกวันหลวงพ่อท่านจะต้องเอาข้าวมาโปรยให้ปูปลาและเต่ากิน
วันไหนท่านไม่ได้เอามาโปรยให้ด้วยตนเอง ท่านก็ต้องใช้ให้ศิษย์เอามาแทนท่าน มีคนใจชั่ว
คนหนึ่งได้ขโมยเอาเต่าในสระวัดสิงห์ไปแกงกิน หลวงพ่อรู้เข้า แทนที่ท่านจะโกรธ มีโทสะ ด่าว่า
ท่านกลับนิ่งเฉยและพูดขึ้นลอยๆ ว่า ชีวิตสัตว์ในสระนี้เป็นของต้องห้ามและมีอาถรรพ์ ใคร
ล่วงเกินต้องชดใช้กรรมอันนั้น
     และในไม่ช้าชาวบ้านที่ขโมยเต่าวัดไปกินก็ต้องมีอันเป็นไปจริงๆ และก่อนตาย ก็ต้องคลาน
เหมือนกับเต่าและตายด้วยโรคร้าย ซึ่งรักษาไม่หายต้องทุกข์ทรมานมาก เรื่องเต่าวัดสิงห์ยังมีอีก
เรื่องหนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นจากหลวงพ่อท่านมรณภาพไปแล้ว คือ เมื่อหลวงพ่อมรณภาพและได้ตั้งศพ
ไว้บนศาลา ในเช้าวันหนึ่งชาวบ้านพบว่าเต่าที่หลวงพ่อเลี้ยงเอาไว้ในสระพากันคลานขึ้นไปนอนอยู่
ใต้โลงศพของท่าน ชาวบ้านพยายามจะจับเต่ากลับลงมายังสระ แต่ดูคล้ายกับว่าเต่ามันไม่ยอมกลับ
มายังสระพยายามตะกายหนีไปแอบอยู่ใต้โลงด้วยอาการเศร้าสร้อย
    "กระป๋องน้ำก้นรั่วตักน้ำ" 
     เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ยังอยู่ในความทรงจำของชาวบ้านวัดสิงห์ เพราะวันหนึ่งมีญาติโยมมา
ให้ท่านวดน้ำมนต์ และหลวงพ่อใช้ให้ชาวบ้านช่วยไปตักน้ำมาให้ถังหนึ่ง โดยชี้ไปที่กระป๋องน้ำใบหนึ่ง
พร้อมกับบอกว่าให้ไปตักน้ำมาให้ ชาวบ้านผู้นั้นพอแลเห็นว่ากระป๋องใบนั้นก้นรั่วจะใช้ตักน้ำไม่ได้ จึง
ถามหลวงพ่อว่ามีกระป๋องน้ำใบอื่นหรือไม่ เพราะใบนี้รั่ว แต่แทนที่หลวงพ่อท่านจะบอกให้ไปเอา
กระป๋องใบอื่น ท่านกลับบอกว่า “ไม่รั่วหรอกตักได้” ชาวบ้านผู้นั้นก็เถียงว่า “รั่วครับ” พร้อมกับ
หยิบมาให้หลวงพ่อดู เมื่อท่านเห็นแล้วท่านก็ยังบอกว่า “ไม่รั่วหรอกลงไปตักดูซิ” ชาวบ้านผู้นั้น
ก็เกิดอยากลองดีกับหลวงพ่อเพราะบอกแล้ว ท่านก็ไม่เชื่อ จึงคิดว่าจะตักน้ำมาให้ดู
     ปรากฏว่าพอจ้วงลงไปตักน้ำขึ้นมาเต็มกระป๋องและหิ้วมาให้หลวงพ่อก็ได้สังเกตดูว่า
น้ำจะรั่วหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีน้ำหยดออกมาจากก้นกระป๋องแม้แต่หยดเดียว เมื่อมาถึงหลวงพ่อ
ท่านจึงย้อนถามว่ากระป๋องรั่วหรือเปล่าชาวบ้านผู้นั้นก็บอกว่าไม่รั่วครับ
     "หลวงพ่อเป็นห่วงศิษย์"
     มีศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง ชื่อนายกุ๋ย นายกุ๋ยเป็นนักร้องที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง นายกุ๋ยเป็น
คนนิสัยดีแต่ก็ต้องเจอกับกรรมเก่า ที่ร้านอาหารแห่งนั้นตอนทำงาน นายกุ๋ยก็หนีกฎเกณฑ์ ธรรมดา
ไปไม่พ้น นั่นคือเมื่อมีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด เข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า “คนรักเท่าผืนหนังคนชัง
เท่าผืนเสื่อ”
     นายกุ๋ยมีคู่แข่งที่เป็นนักร้องด้วยกันและไม่ชอบหน้ากันด้วยเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เช่น
เรื่องผู้หญิง เรื่องงาน เรื่องเจ้านาย คู่อาฆาตของนายกุ๋ยค่อนข้างเป็นคนมุทะลุและใจดำ โหดเหี้ยม
ได้เคยกล่าวอาฆาตนายกุ๋ยไว้หลายหน จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อมีเรื่องต่อปากคำกันแล้วหลังจาก
เลิกงาน คู่อาฆาตก็ไปดักรอนายกุ๋ย พร้อมด้วยพักพวกหลายคน นายกุ๋ยไม่คิดว่า เหตุร้ายจะเกิด
กับตัวและคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุวิวาทกันเมื่อค่ำนี้จนถึงกับต้องเอาชีวิตกัน
     กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว พอนายกุ๋ยเดินเข้าบ้านซึ่งเป็นที่เปลี่ยวก็ถูกรุมตีด้วยท่อนไม้หลายอัน
จนถึงกับสลบเหมือดฝ่ายผู้ตีต่างก็หนำใจแล้วจะคิดว่าอย่างไรนายกุ๋ยต้องตายแน่ เพราะถูกรุมตีน่วม
ไปทั้งตัว เหตุการณ์นั้นเกิดดึกมากแล้ว กว่านายกุ๋ยจะรู้สึกตัวก็ใกล้รุ่งเต็มที่ เมื่อนายกุ๋ยรู้สึกตัวนั้น
คล้ายกับฝันไปว่า หลวงพ่อเชนท่านมาปลุกให้ลุกขึ้น พอรู้สึกตัวจึงรู้ว่าถูกรุมทำร้ายแต่บาดแผล
ก็ไม่มี มีแต่อาการปวดเมื่อยระบมไปทั้งตัว ต้องพักผ่อนอีกหลายวันจึงจะหายเป็นปกติได้
/data/content/289/cms/aklnoqstuy89.jpg

     
"สมบัติ เมทะนี ศิษย์หลวงพ่อเชน"
     ตะกรุดเด่น ดาราดัง สมบัติ เมทะนี เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเชน ดาราและผู้สร้างหนัง
หลายท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเชน เรื่องราวตะกรุดหลวงพ่อเชน เพราะสมบัติ เมทะนี และ
ผู้สร้างภาพยนต์มาเห็นประสบการณ์จึงนำไปสร้างภาพยนต์เรื่อง "ตะกรุดโทน" เป็นเรื่องราวตะกรุด
ของหลวงพ่อเชน สมบัติฯ แสดงนำ เมื่อตอนที่หลวงพ่อยังอยู่ สมบัติจะนำภาพยนต์ไปฉายประจำ
สมเด็จหลวงพ่อรุ่นแรก ในพื้นที่เขาก็เรียกกันว่า รุ่น สมบัติ เมทะนี .....
      หลวงพ่อเชนท่านชอบเลี้ยงสุนัข เลี้ยงเต็มกุฏิของท่าน เวลาท่านนั่งอยู่ สุนัขของท่าน
ก็จะล้อมเต็มเลย และเมื่อครั้งมาปลุกเสกเหรียญดอกจิกปี ๑๓ หลวงพ่อโอด ที่วัดจันเสน รุ่นที่
หลวงพ่อพรหมท้าให้เอาปีนมายิง ข้ามหลังคาโบสถ์ ท่านก็มาร่วมปลุกเสกด้วยและท่านก็จำวัด
ในโบสถ์กับหลวงพ่อพรหมวัดช่องแคด้วยเช่นกัน ท่านก็จะทำตะกรุดห้อยคอสุนัขของท่านไว้
เพราะสุนัขของท่านถูกชาวบ้านทำร้ายบ่อย สุนัขที่ห้อยตะกรุดถูกยิงไม่เข้า สมบัติ เมทะนี
เห็นเข้า จึงนำมาสร้างหนัง เขาว่าตะกรุดที่ท่านทำให้คุณสมบัติเมทะนี เป็นตะกรุดเนื้อทองคำ
      ภาพยนต์เรื่อง นักฆ่าตะกรุดโทน ฉายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑ ผู้กำกับคือ คุณจรัญ พรหมรังสี นำ
แสดงโดย สมบัติ เมทะนี อรัญญา นามวงศ์ นิรุตต์ ศิริจรยา....... วิชาตะกรุดท่านดังเเค่ไหน ขนาด
หลวงพ่อโอด วัดจันเสน ศิษย์หลานในคุณพ่อเดิม ยังมาขอเรียนวิชาตะกรุดจากหลวงพ่อเชน ใคร
มีตะกรุดท่านเเท้ๆ เก็บรักษาไว้ให้ดีนะครับ
   
"วันมรณภาพ ของหลวงพ่อ"
      ก่อนที่หลวงพ่อท่านจะมรณภาพไม่ได้มีสัญญาณเตือนให้รู้ล่วงหน้าก่อนเลย แต่พอถึง
วันโกนกลางเดือน ๕ ขึ้น ๑๔ ค่ำ พ.ศ.๒๕๑๖ หลวงพ่อท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยความชรา โดย
สงบ ยังความเศร้าโศกเสียใจแก่บรรดาศิษยานุศิษย์อย่างใหญ่หลวง ในวันที่หลวงพ่อมรณภาพ
ปรากฏว่าบรรยากาศภายในวัดมืดครื้มทั้งๆที่ยังเป็นตอนกลวงวัน และมีลมพัดหวลอื้ออึงอยู่พักใหญ่
พอพระเณรที่พบว่าหลวงพ่อสิ้นใจ แล้วตีกลองบอกญาติโยมให้มาชุมนุมกันสายลมที่พัดอย่าง
ไม่มีเค้ามาก่อนก็สงบลงเองอย่างน่าอัศจรรย์

ขอบคุณข้อมูล จาก 
watkositaram.com โดยคุณ Tongn005