วัดประโชติการาม
27 มิถุนายน 2560

วัดประโชติการาม 

ตั้งอยู่เลขที่ ๑ หมู่ที่ ๓ ตำบลบางกระบือ อำเภอเมือง  จังหวัดสิงห์บุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย 
ปูชนียวัตถุ มีพระประธานประจำอุโบสถ ปางมารวิชัย สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒
วัดประโชติการาม ตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๐ เดิมชื่อวัดประชด ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓
เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน พระครูเกษมธรรมโชติ (เกษม เขมรโต)

     ตั้งอยู่เลขที่ ๑ หมู่ที่ ๓ ตำบลบางกระบือ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย 
ปูชนียวัตถุ มีพระประธานประจำอุโบสถ คือ ปางมารวิชัย สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒  
วัดประโชติการาม ตั้ง
เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๐ เดิมชื่อวัดประชด ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓
เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
พระครูเกษมธรรมโชติ (เกษม เขมรโต)

     ตำนาน วัดประโชติการาม  (เดิมชื่อวัดประชด) แจ้งว่าในอดีตกาลนานมาแล้ว
มีสัตว์หนึ่งมีลักษณะคล้ายสิงห์ 
อาศัยในถ้ำคูหาอยู่ในบริเวณที่เป็นที่ตั้งวิหารพระพุทธ
ไสยาสน์  
สิงห์ตัวนี้ได้ไปหากินแขวงเมืองชัยนาท ไปพบบุตรีของเศรษฐีผู้หนึ่ง(ไม่ปรา
กฎชื่อ) มีความปฏิพัทธ์รักใคร่ในนางนั้นเป็นกำลัง 
เมื่อได้ทีจึงรวบรัดนางนั้นขึ้นหลังพา
มายังคูหาแห่งตน และได้
สมสู่เป็นสามีภรรยาด้วยกันมาช้านานก็มีครรภ์ ครั้นถึงกำหนด
ก็คลอดบุตรชายเป็นมนุษย์บิดามารดามีความชื่นชมยินดีเป็นที่สุด  และขนานนามบุตร
ว่า สิงหนพาหุ

  ครั้น สิงหนพาหุ เจริญวัยขึ้น เมื่อสิงห์ผู้เป็นบิดาไปเที่ยวหาอาหารในป่า สิงหนพาหุ ก็
ไปเที่ยวด้วยเสมอ แต่หาทราบไม่ว่า
สิงห์นั้นเป็นบิดาของเธอ วันหนึ่งได้โอกาสจึง
อ้อนวอน ถาม
มารดาว่า บิดาของข้าพเจ้าคือใคร มารดาจึงตอบเป็นนัยๆ ว่า วันนี้เจ้า
ไปเที่ยวกับใคร คนนั้นแหละคือบิดาของเจ้า สิงหนพาหุ
เมื่อทราบชัดว่า สิงห์นั้นเป็น
บิดาของตนตามคำมารดาบอก 
ก็เกิดความโทรมนัสน้อยใจคิดละอายแก่เพื่อนมนุษย์
ด้วยว่า
บิดาของตนเป็นสัตว์เดรัจฉาน

   เหตุนี้เองจึงทำให้สิงหนพาหุ
คิดเห็นผิดเป็นชอบ คอยหาโอกาสที่จะประหารชีวิตบิดา
เสีย 
ครั้งวันหนึ่งคิดเห็นอุบายอันเหมาะสม ที่จะทำลายชีวิตบิดาได้แล้ว ก่อนจะไปป่าจึง
ขอให้มารดาห่ออาหาร
ให้ห่อหนึ่งแล้วเดินทางเข้าสู่ป่า พร้อมกับสิงห์ผู้เป็นบิดา พบสัตว์
ฝูง
หนึ่งที่ใกล้บริเวณต้นโพธิ์  สิงห์จึงให้บุตรคอยอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้นตอนออกเที่ยวจับสัตว์
ในป่าเพลินอยู่ ฝ่าย
สิงหนพาหุ คอยบิดาอยู่เมื่อไม่เห็นบิดากลับมาจึงขึ้นต้นโพธิ์ ตระโกน
ร้องเรียก เมื่อบิดา
กลับมาถึงแล้ว จึงจัดอาหารให้รับประทานภายใต้ต้นโพธิ์ 

   สิงหนพาหุ ถืออาวุธแอบหลังคอยอยู่ พอได้ทีก็ฟันคอบิดาขาด ตายในที่นั้น พอบิดาตาย
จึงตัดกิ่งโพธิ์คลุมศพ
บิดาไว้ในสถานที่นั้น ที่นั้นจึงมีนามว่า โพธิ์ตระโกน ตั้งแต่วันนั้นมา
จนบัดนี้ 

   ครั้นเสร็จจากการทำลายชีวิตบิดาแล้ว จึงกลับมายังคูหา แจ้งความตายที่ตนได้ปลงชีวิต
บิดาแก่มารดาทุกประการ 
นางมีความเศร้าโศกร่ำไห้ถึงสามีมิวายวัน ครั้นวายโศกแล้ว จึง
ปรึกษากับ สิงหนพาหุ จะปลงศพบิดาเจ้าที่ไหน
จึงจะสมควร ได้รับตอบว่าควรจะปลงศพ
ที่
โคกจันทร์ ซึ่งเป็นบริเวณใกล้คูหา จึงเป็นอันตกลง นำศพมาทำฌาปนกิจที่โคกจันทร์
บัดนี้ สถานที่นั้น
ก็ยังมีปรากฎอยู่

    ครั้งปลง
ศพเสร็จแล้ว สิงหนพาหุ จึงอาราธนาพระเถรานุเถระทั้งหลายให้มาประชุมพร้อม
กันในสถานที่สมควรแห่งหนึ่ง
แล้วจึงเรียนถามว่า

     บัดนี้ข้าพเจ้าได้พิจารณาโทษที่กระทำผิดต่อบิดานั้นแล้วจะกระทำอย่างไรดีจึงจะพ้น
โทษนั้นได้ พระสงฆ์ทั้งหลาย
จึงบอกว่าควรจะสร้างพระพุทธรูปและกุฏิวิหารถวายเป็น สังมิการาม
แด่พระสงฆ์ทั้งหลาย ผู้มาแต่จาตุทิศทั้งสี่ นั่นแหละจึงเห็นว่าจะเป็นบุญกุศลช่วยบรรเทา
บาปกรรมอัน
หนักยิ่งของท่านได้บ้าง 

     สิงหนพาหุ จึงได้เริ่มก่อสร้าง พระพุทธไสยาสน์ ขึ้นองค์หนึ่ง เอาทองคำโคสมกำยาว ๑
เส้น ทำเป็นแกนพระพุทธรูป 
และได้สร้างทับคูหาไว้และสร้างกุฏิวิหารเป็น พระอาราม
สำเร็จบริบูรณ์ เมื่อสำเร็จแล้วจึงได้มีการประชุมพระสงฆ์ ฉลองถวายปัจจัยไทยธรรม ครั้น
เมื่อเสร็จกิจ จึงเรียนถาม
พระสงฆ์อีกวาระหนึ่งว่า ด้วยเดชะอำนาจกุศลสมภาร ที่ข้าพเจ้า
ได้ก่อสร้างพระพุทธรูปและพระอารามนี้จะพ้นโทษ
ได้หรือยัง พระสงฆ์จึงบอกว่าอาจเป็น
อานิสงส์ช่วย
ได้บ้างแล้ว 

    ต่อมา สิงหนพาหุ จึงได้จัดสร้างพระอารามขึ้นที่ต้นโพธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ทำลายชีวิตบิดา
ถึงแก่กรรมอีก
แห่งหนึ่ง ที่นั้นจึงได้นามว่า วัดสะบาป  บัดนี้ยังปรากฏอยู่ แต่ร้างเสียแล้ว
ครั้นสร้าง
วัดสะบาปแล้วมาสร้าง วัดกึ่งโยชน์ ปัจจุบันเรียกว่า วัดยวด อยู่ริมถนนสายสิงห์บุรี
 -ชัยนาท อ.บางระจัน  จ.สิงห์บุรี

/data/content/77/cms/bfjmnoty1235.jpg

                           หลวงพ่อสินประดิษฐานอยู่ด้านหน้า


/data/content/77/cms/bhkmsvxy5689.jpg
                          หลวงพ่อทรัพย์ ประดิษฐานอยู่ด้านหลัง
/data/content/77/cms/bcdnotwxy135.jpg             "สิงหนพาหุสร้างวัดประชด(วัดประโชติการาม) เพื่อชดเชยบาปหนัก"

       สิงหนพาหุกลัวว่าบาปยังไม่สิ้นไปจึงมาสร้างวัดอีก ชื่อว่า วัดประชด เพื่อให้พ้นบาป หรืออีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นการชดเชย
หรือ ประชด ให้กับบาป
       และต่อมาได้สร้างพระพุทธรูปยืน ปางห้ามญาติ ขึ้น ๒ องค์ ขนานนามว่า หลวงพ่อสินสูง ๓ วา ๓ ศอก ๕ นิ้ว ส่วนองค์หลัง
ขนามนามว่า หลวงพ่อทรัพย์ สูง ๖ วา ๗ นิ้ว และด้านหลังมณฑลหลวงพ่อสร้างพระมหาเจดีย์ใหญ่องค์หนึ่ง แต่บัดนี้ได้ทรุดโทรมหักพังเหลือแต่ซาก

             ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระ 
      ทางคณะกรรมการวัดได้ทำการก่อสร้างพระอุโบสถหลังปัจจุบัน ก็ได้ช่วย
กันถมดินและเศษอิฐ ซึ่งสลักหักพังมาถมพื้นอุโบสถ
ให้สูงเสมอกับวิหารหลวงพ่อ
ทั้งสององค์ แต่น่าอัศจรรย์ตรงกลางพระเจดีย์ไม่มีใครสามารถทำลายได้ คงปล่อย
ให้เป็นโคกสูงอย่างนั้นเอง จนกระทั่งวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปี พ.ศ.๒๔๙๖ พระอธิ
การปั้น ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่วัดยาว ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี ได้ครุ่นคิดอยู่
เสมออยากจะมาเที่ยววัดประชดเหลือเกิน

         บังเอิญวันดังกล่าวก็มีโอกาสได้มา ก็เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก จน
พระอธิการปั้นไม่สามารถกลับวัดได้ จนเวลาบ่าย ๖ โมงเย็นจึงหาย พระอธิการปั้น
จึงได้เข้าไปนมัสการหลวงพ่อสิน และหลวงพ่อทรัพย์ แล้วก็ออกเดินทางไปด้านหลัง
หลวงพ่อทรัพย์ จะออกถนนเหลือบแลไปทางด้านพระเจดีย์ ซึ่งตอนนั้นเป็นดินอยู่ แล
เห็นพระพุทธรูปยืนอยู่บนโคกดิน ดังนั้น ท่านจึงเดินไปตั้งใจจะไปเอาพระพุทธรูปพระ
พุทธรูปนั้นก็จางหายไป เห็นแต่ไหใบใหญ่มีฝาปิดโผล่อยู่บนผิวดิน จึงเข้าไปเอา
ปลายร่มกระทุ้งดูเห็นฝาไหเปิดอยู่จึงเข้าใจว่าคงจะเป็นกรุพระหรือของมีค่าแน่นอน
จึงรีบไปบอกพระภายในวัดประชดนี้ให้มาดู แล้วช่วยกันลอกขุดดู

        ในช่วงเวลานั้น มีพระเต่า พระฉ่ำ พระหยวก พระแหยม และนายปลั่งซึ่งกำลัง
เป็นนาคอยู่ ในขณะที่ขุดนั้นได้เกิดปาฏิหาริย์เสียงดัง  แต่ก็ไม่พบอะไร เมื่อตั้งสติดี 
ก็ช่วยกันยกไหซึ่งมี ๔ หูแบบโบราณ เมื่อเปิดฝาออกดูก็พบพระเครื่องปางต่างๆ
มากมายและตอนกลางๆไหก็มีพระบูชาปางต่างๆหลายสิบชนิด กำไรข้อมือแบบ
ทองคำทองเหลืองแหวนแบบ หนวดกุ้งอย่างเก่ามากมาย พระจึงให้มรรคทายก
ไปแจ้งเรื่องให้ ท่านเจ้าคุณสิหราชมุนี เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี วัดสังฆราชาวาส
เมื่อพระคุณเจ้ามาถึงวัดประชด ก็ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจดูพระและจำนวนและได้นำ
ออกให้ประชาชนเช่าเพื่อนำรายได้ไปสมทบในการสร้างพระอุโบสถซึ่งขณะนั้นยังไม่
ได้เทพื้นและช่อฟ้าหน้าบรรณและทำฝาผนัง และแท่นพระประธาน ขณะนี้ยังเหลือ
แต่ไห ๔ หู ซึ่งสำหรับใส่น้ำพระพุทธมนต์ประจำวัดมีความศักดิ์สิทธิ์ 

         ส่วนฝาไหนั้นขณะที่ได้กรุใหม่ๆ มีประชาชนมาชมกันมาก ก็เอาฝาเปิดวางไว้
ข้างไฟ ได้มี เด็กชายเบี้ยว ชัยศิลป์ จะเข้าไปดูในไหดูไม่ถึงเหยียบไปบนฝาไห แล้ว
ก็เกิดปาฏิหาริย์ล้มลงเดินไม่ได้ หลวงพ่อฟุ้ง อุตตโม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดสะเดา
ขณะได้กรุพระท่านมาช่วยบัญชางานที่วัดประชดด้วย และท่านได้ตั้งเจตนาว่าจะนำ
พระบูชาและพระเครื่องไปให้คนเช่าและจำนำเงิน มาสร้างพระเจดีย์แทนเจดีย์องค์
เก่าและท่านได้บอกบิดามารดาของเด็กชายเบี้ยวให้มาขอขมา และอาราธนาน้ำมนต์
ที่โอ่งนั้นไปให้เด็กดื่มและอาบ เด็กชายเบี้ยวก็หายเป็นปกติเดินได้ในวันนั้นเอง

/data/content/77/cms/dfgjklmnuy67.jpg


/data/content/77/cms/eikopqsuw257.jpg